Articles

THE ROAD TO AUTONOMY

11/08/2025

คุณจรีพร จารุกรสกุล

ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม

บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับได้พัฒนาจากแนวคิดในห้องทดลองสู่การใช้งานจริงอย่างรวดเร็ว ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนสมองของรถยนต์ ซึ่งทำงานควบคู่กับ เซนเซอร์อัจฉริยะที่เปรียบเสมือนดวงตาที่ช่วยให้รถยนต์สามารถประมวลผลภาพได้อย่างแม่นยำสูง ประกอบกับระบบวิเคราะห์เส้นทางและเครือข่ายความเร็วสูง ยานพาหนะจึงสามารถตัดสินใจเคลื่อนและตอบสนองต่อสถานการณ์ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี จึงส่งผลให้หลายประเทศทั่วโลกเร่งปรับตัวเข้าสู่ยุคของยานยนต์อัตโนมัติอย่างจริงจัง ทั้งการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการกำหนดกฎหมายและมาตรฐานความปลอดภัยที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างเช่น ประเทศจีนที่ตั้งเป้าหมายให้การผลิตรถยนต์ใหม่ 30% รองรับระบบช่วยขับขี่ระดับ 3 ขึ้นไปภายในปีนี้ ด้านสหรัฐฯ ก็มีการส่งเสริมการพัฒนาและสนับสนุนการวิจัยเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง รวมถึงได้อนุญาตให้ใช้งานรถยนต์ระดับ 4 บนท้องถนนแล้วในหลายรัฐ พร้อมกับตั้งหน่วยงานเพื่อกำกับดูแลมาตรฐานความปลอดภัย ในขณะที่เกาหลีใต้มีการลงทุนพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่ใช้ระบบ V2X (Vehicle-to-Everything) เพื่อให้ยานพาหนะสื่อสารกับสิ่งแวดล้อมรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐาน (V2I) รถยนต์คันอื่นๆ (V2V) และคนเดินถนน (V2P) เป็นต้น

สำหรับภาคอุตสาหกรรมยานยนต์และผู้บริโภคทั่วโลกก็ต่างตอบรับกับเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่ระบบช่วยขับขี่ขั้นสูงเคยจำกัดอยู่ในกลุ่มรถยนต์ราคาสูง แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นระบบมาตรฐานในรถยนต์ระดับกลางที่กลายเป็นหนึ่งปัจจัยที่ผู้บริโภคใช้ประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อ โดยเฉพาะระดับ 2 ที่สามารถช่วยควบคุมการเร่งและเบรกได้อัตโนมัติภายใต้การดูแลของผู้ขับขี่ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ปัจจุบันเทคโนโลยีพัฒนาไปถึงระดับ 4 ซึ่งสามารถขับเคลื่อนได้โดยไม่ต้องพึ่งพาคนขับในบางสถานการณ์ แต่การใช้งานจริงยังคงขึ้นอยู่กับข้อจำกัดและกฎหมายในแต่ละประเทศ โดยตัวอย่างระบบช่วยขับขี่ขั้นสูงระดับ 4 ที่น่าสนใจจากบริษัทชั้นนำทั่วโลก ได้แก่ ระบบ “Hands-Free” ของ Rivian แบรนด์รถยนต์สัญชาติอเมริกัน ที่ให้ผู้ขับสามารถปล่อยมือจากพวงมาลัยขณะขับบนทางหลวงได้ โดยระบบจะควบคุมการเลี้ยว เร่ง และเบรกโดยอัตโนมัติ ขณะที่ Waymo บริษัทในเครือ Alphabet (Google) ก็ได้ให้บริการรถแท็กซี่ไร้คนขับแล้วในบางเมืองของสหรัฐฯ โดยรถแท็กซี่ Waymo จะเริ่มเคลื่อนที่ต่อเมื่อผู้โดยสารทุกคนคาดเข็มขัดนิรภัย นอกจากนั้นยังมี Apollo RT6 ของ Baidu ที่ให้บริการรถแท็กซี่ไร้คนขับในหลายเมืองใหญ่ของจีน มาพร้อม AI และเซนเซอร์รอบคันเพื่อให้สามารถประเมินสภาพจราจรที่ซับซ้อนของจีนได้แบบเรียลไทม์ อีกตัวอย่างที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือ MOIA จาก Volkswagen ที่พัฒนารถตู้ไฟฟ้าแบบไร้คนขับที่ควบคุมการขับขี่ได้ผ่าน App บนสมาร์ทโฟน เป็นต้น

ท่ามกลางการแข่งขันระหว่างผู้ผลิตรถยนต์และบริษัทเทคโนโลยีก็ส่งผลให้การพัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านความแม่นยำ ความปลอดภัย และความสามารถในการรับมือกับสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การนำมาใช้งานอย่างเต็มรูปแบบยังคงเผชิญความท้าทายในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นข้อกฎหมายและกฎระเบียบที่ยังไม่รองรับอย่างครบถ้วน รวมถึงประเด็นสังคมและจริยธรรมที่หลายประเทศกำลังพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยและความรับผิดชอบเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ขณะเดียวกัน สภาพอากาศและสภาพถนนที่หลากหลายในแต่ละภูมิภาคก็ยังคงเป็นอีกความท้าทาย โดยหากสามารถก้าวผ่านข้อจำกัดเหล่านี้ไปได้ ยานยนต์ไร้คนขับจะได้รับการใช้งานอย่างแพร่หลายและนำมาซึ่งประโยชน์มหาศาลในการเปลี่ยนแปลงการคมนาคมในอนาคต